เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ส.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ.วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาชีวิตการเกิดนะ ชีวิตนี้คือการต่อสู้ เราดูแมลงดูสัตว์เวลามันเริ่มวางไข่ มันเริ่มเป็นตัวหนอน มันต้องพยายามต่อสู้เพื่อดำรงชีวิตของมันใช่ไหม สัตว์ทุกอย่างมันต้องต่อสู้ดำรงชีวิตของมัน เพราะคนเราเกิดมาทุกคนรักความสุข เกลียดความทุกข์ทุกคนเลย ทุกดวงใจแม้แต่สัตว์ แม้แต่มนุษย์ทุกคนต้องคิดอย่างนั้น

เวลาว่า แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าเขามีความทุกข์ล่ะ เขามีความสุขของเขาก็ได้ ในมหายาน พวกเซนเขาจะว่ากันอย่างนั้น เวลาเห็นปลาว่ายในน้ำว่าปลามีความสุขเหลือเกิน รู้ได้อย่างไรว่าปลามีความสุข

มันก็มีความสุขของมัน ถ้ามันกินอิ่มนอนอุ่นประสาของสัตว์ แต่ถ้ามันมีความหิวนะ ความหิวนั้นก็บีบคั้นมัน เวลาลูกนกที่เขาฟักกันมา ออกมา เวลาแม่ไปหาอาหารมาลูกนกมันจะอ้าปากรอเหยื่อของแม่นะ แม่จะเอาเหยื่อมาป้อนใส่ปากลูก ลูกมันหากินของมันเองไม่ได้ มันยังอยู่ในรังของมัน มันจะอ้าปากรออาหารจากพ่อจากแม่ของมัน ไปหาเหยื่อมาให้มันกิน ถ้ากินอิ่มนอนอุ่นมันก็มีความสุข

ดูสิ เวลาอย่างป่าสงวน เวลาในป่าเวลาเรารุกเข้าไปในป่า สัตว์มันไม่มีอาหารของมันจะกิน มันรุกเข้ามากินพืชไร่ของชาวสวน เพราะอะไรล่ะ เพราะมันต้องดำรงชีวิตของมัน ในเมื่อดำรงชีวิตของมัน ชีวิตนี้ต้องมีความดิ้นรน ต้องดำรงชีวิตให้ได้

เราก็เหมือนกัน เราชีวิตของเรา ถ้าเราคิดว่าการดำรงชีวิตของสัตว์มันยังต้องดำรงชีวิต มันต้องพยายามสู้ของมัน แล้วเวลาคนไข้ เวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาจะรักษาเขาก็ต้องพยายามดำรงชีวิตของเขา เขาต้องต่อสู้กับความเจ็บไข้ได้ป่วยของเขา เพื่อให้เขาหายนะ ความเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกายมันยังบีบคั้นหัวใจให้หัวใจนี้ทุกข์ยากมาก โรคบางชนิดไม่มีทางรักษา มันก็ต้องตายไป แต่โรคบางชนิดมันมีการรักษาได้ มีความรักษาได้

โรคของกรรม ถ้ากรรมมีอยู่แล้วสภาวะต่างๆ เราไม่สามารถเอาชนะกรรมได้ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าเอาวิทยาศาสตร์ชนะมันจะชนะสิ่งต่างๆ ได้ นี้โรคของร่างกาย แต่เวลาถ้าไม่มีศาสนานะ โรคของหัวใจไม่มีใครเข้าใจเรื่องโรคของหัวใจ

เวลาดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเตมีย์ใบ้ สร้างบารมีด้วยขันติบารมี เขาจะตัดหูก็ไม่พูด เขาจะทำอะไรก็ไม่พูด ทั้งชีวิตหนึ่งๆ สร้างสมให้ใจดวงนี้มันมีอำนาจวาสนามันมีบารมีของมันขึ้นมา พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ต้องตรัสรู้เอง พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองเพราะสร้างบารมีน้อยกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างบารมีมาขนาดนั้น

แต่เราสาวกะๆ เราสาวกเราเป็นคนที่ว่ามีบุญวาสนามากที่สุด เพราะอะไร เพราะเราเกิดท่ามกลางพระพุทธศาสนา เจ้าชายสิทธัตถะสร้างบุญมาขนาดนั้น แต่เวลาเกิดขึ้นมานี่ศาสนาไม่มี ต้องค้นคว้าเอง ต้องหาเอง การค้นคว้าเองการหาเอง มันก็เหมือนหมอ หมอที่เขาวิเคราะห์โรค เวลาคนไข้เข้าไปในโรงพยาบาล เป็นโรคอะไรมาจะรักษาได้อย่างไร จะให้ยาอะไรมันถึงจะถูกกับโรคนั้น เพราะมันไม่มียาไม่มีตำรับตำรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ไม่มียาอย่างนั้น

แต่ในปัจจุบันนี้เรามี อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่พ้นไปจากอริยสัจ ไม่พ้นไปจากเรื่องของทุกข์ ทุกข์เกิดจากเรื่องอะไร? เรื่องของสมุทัย สมุทัยถ้าจะดับมัน ดับด้วยอะไร? ดับด้วยมรรค ถ้าดับด้วยมรรค นิโรธเกิดขึ้น นิโรธคือความดับทุกข์ นี่การรักษาใจไง

โรคของใจ โรคของใจจะไม่มีใครเข้าใจนะ ทางวิทยาศาสตร์เขาจะคิดค้นขนาดไหน ตอนนี้พวกเศรษฐีมหาเศรษฐีเขามีความสุขของเขา เขาห่วงว่าการตายของเขา เขาต้องการให้เทคโนโลยีเจริญขึ้นมา เขาสั่งเก็บร่างกายของเขาไว้นะ เขาแช่แข็งเขาไว้เพื่อให้เวลาถ้าวิทยาศาสตร์มันเจริญขึ้นมาจะได้ชุบชีวิตของเขาขึ้นมาอีก เห็นไหม ความคิดของเขา เขาไม่อยากตายไง เขาไม่อยากตาย เขาไม่อยากเจ็บไข้ได้ป่วย เขาอยากจะมีชีวิตยืนยาว นั่นน่ะ เขาพยายามรักษา หาของเขาเพราะอะไร

เพราะทั้งๆ ที่มีศาสนาอยู่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปรินิพพาน เอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปไม่ได้เอาธรรมของใครไปเลย การที่จะไม่ให้ตายอีก การตายแล้วเกิดอีกมันไม่เกิดอีกแล้ว แล้วจะไม่มีการตายอีก แต่ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

นี่ธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้อยู่ แล้วเราเป็นชาวพุทธ เรามีอริยสัจอันนี้วางไว้อยู่ ธรรมนี้เป็นอริยสัจ ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสิ่งที่จะเข้าไปสัมผัสมัน สิ่งที่จะเข้าไปรู้สิ่งนี้คือหัวใจของสัตว์โลก

หัวใจของสัตว์โลก โรคของใจ โรคของใจที่ว่าถ้ามันไม่มียารักษา พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องตรัสรู้เอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องตรัสรู้เอง แต่สาวกะๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ ๕,๐๐๐ ปีนะ เราจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ที่ ๔ แล้ว แล้วจะมีพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสข้างหน้าต่อไป แล้วสิ่งนี้มีอยู่ ทำไมเราไปเห็นสิ่งอื่นเป็นประโยชน์ล่ะ ทำไมเราไปเห็นสิ่งอื่นมีคุณค่าล่ะ

เวลาทุกข์เราก็ทุกข์ทุกคน เราก็ทุกข์ของเรา เรามีความทุกข์ แล้วถ้าว่าเราไม่มีวาสนา นี่ชาวพุทธมหาศาลเลย ดูสิ เวลาหลวงตาออกมาช่วยชาติ พระนะจบ ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคนะ แล้วพวกอนุศาสน์เขาจบ ๙ ประโยคทั้งนั้น เขาบอก “พระอรหันต์ไม่มี องค์หลวงตานี่เป็นการอวดอุตริ”

เห็นไหม เขาไม่เชื่อของเขา ทั้งๆ ที่เขาเป็นชาวพุทธ เขานุ่งห่มผ้าเหลือง ทั้งๆ ที่ว่าเขาเป็นอนุศาสน์ เขาศึกษามาจากพระพุทธศาสนา เขายังไม่เชื่อของเขา แล้วเราเป็นคนเชื่อ นี่อำนาจวาสนามันต่างกันตรงนี้ไง อำนาจวาสนาต่างกันตรงที่ว่า เราเชื่อของเรา เราเชื่อคือว่าถ้ามีศรัทธาความเชื่อ เราจะค้นคว้าสิ่งนี้ได้ ถ้าเราค้นคว้าสิ่งนี้ได้ นี่โรคของใจ ถ้าเรื่องโรคของใจ ใจมันเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าใจเจ็บไข้ได้ป่วย สิ่งที่จะรักษาใจได้คือธรรมโอสถ ถ้าธรรมโอสถขึ้นมา

เวลาสัตว์มันดำรงชีวิตของมัน มันยังต้องพยายามขวนขวายเพื่อดำรงชีวิตของมัน ดำรงชีวิตของมันเพื่ออะไร? เพื่อความเป็นอยู่ของมัน สุดท้ายแล้วผลของวัฏฏะคือมันก็ต้องเกิดต้องตายไปตามประสาสัตว์ สิ่งที่สัตว์เกิดตายนี้เป็นอำนาจของกรรม เพราะกรรมเขาสร้างมาอย่างนั้นเขาถึงเกิดเป็นสัตว์อย่างนั้น

เราเป็นสัตว์มนุษย์ เป็นสัตว์เหมือนกัน สัตตะผู้ข้อง ผู้เกี่ยวเพราะมีหัวใจ เพราะมีพลังขับเคลื่อน เพราะมันมีกิเลสมีตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่มีตัณหาความทะยานอยากนี้คือโรคของใจที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้ให้เป็นที่รักษา แล้วเราเกิดขึ้นมา เหมือนเราเป็นคนไข้แล้วเข้าโรงพยาบาล หมอเขารอผ่าตัด รอแก้ไขเราตลอดเลย แต่ทำไมเราไม่ทำ เพราะ หมอที่เราเข้าไปเขารักษาเราได้ใช่ไหม เพราะมันเป็นเรื่องของร่างกาย จะไม่ยอมอย่างไรเขาก็ผ่าตัด แต่ขนาดนั้น ถ้าหัวใจคนมันไม่สู้มันก็ช็อกตายได้เหมือนกัน

แต่นี่เรื่องของใจ สมาธิชอบ สติชอบ ความเพียรชอบ สิ่งต่างๆ ชอบ เกิดขึ้นมาจากเราต้องค้นคว้าต้องหาของเราเอง สิ่งที่เราต้องค้นคว้าต้องหาของเราเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกท่านวางธรรมไว้ เราวางธรรมไว้ เราชี้ทางให้พวกเราเดิน ใครเดินไปถึงก็ได้ เดินไปครึ่งทางก็ได้ เดินไม่ถึงก็ได้ ถ้าเดินไม่ถึงมันก็ไม่ถึงปลายทางนั้น ไม่ถึงผลงานอันนั้น

นี่ไงไปหาหมอ หมอก็ผ่าตัดให้เรา มันเป็นเรื่องของโลก แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรม เราต้องเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราพยายามค้นคว้าของเราขึ้นมา เราต้องหาสมาธิ หาความยึดมั่น หาสติของเราขึ้นมา เพื่อเข้ามาภายในของเรา เพื่อจะมาชำระล้างของเรา ถ้าเราชำระล้างของเรา สิ่งนี้มันจะแก้ไขสิ่งนี้ แล้วมีวาสนาขนาดไหน ดูสิ ทั้งๆ ที่ว่าเขาบวชเขาเรียนอยู่ เขายังไม่เชื่อของเขา เขายังออกมาแสวงหาเพื่อเรื่องของโลก

แล้วเราเป็นคฤหัสถ์ เราเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเชื่อสิ่งนี้คืออำนาจวาสนา อำนาจวาสนานี่ สิ่งนี้สำคัญมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการต่างๆ ถ้าคนเข้าใจสิ่งนี้แล้วจะพรรณนาทุกคนว่าเหมือนกับหงายหัวใจขึ้น เหมือนกับหงายของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น

ถ้าใจมันปฏิเสธใจมันไม่เข้าใจ ทั้งๆ ที่ศึกษาเล่าเรียนธรรมอยู่นะ ก็บอกว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ถ้ามรรคผลนิพพานไม่มี เอ็งก็ต้องไม่มีความทุกข์สิ เอ็งก็ไม่ต้องมีความทุกข์ในใจ เอ็งก็ต้องไม่มีความบีบคั้นในหัวใจสิ ถ้ามันมีความบีบคั้นในหัวใจ สิ่งที่มันบีบคั้นในหัวใจมันคืออะไรล่ะ? มันคือกิเลส สิ่งที่กิเลสมันเกิดดับในหัวใจแล้วจะชำระล้างมันไม่ได้อย่างไร เพราะอะไร

เพราะของมันมีอยู่ สิ่งใดที่มีอยู่ มันต้องชำระล้างได้ สิ่งใดที่มีอยู่ต้องพบมัน เพียงแต่ว่าเครื่องมือเข้าไปพบมัน มันเป็นความมหัศจรรย์มาก เห็นไหม สัมมาสมาธิต้องยกต้องทำให้จิตนี้สงบขึ้นมาก่อน ถ้าไม่มีพลังงานอันนี้มันเป็นโลกียะ

ทุกคนก็ว่าเรามีปัญญา เราเข้าใจ เข้าใจของเขา เข้าใจปัญญาของเขา ปัญญาอย่างนี้มันเข้าไป มันปล่อยวางเฉยๆ เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอาฬารดาบสก็เป็นแบบนี้ แล้วเวลาธรรมเราเกิดขึ้นมาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว ชี้นำเข้ามาจากภายใน ถ้ามันเข้าไปชำระตรงนั้นได้

การดำรงชีวิตไง ชีวิตหนึ่งของเรา ๑๐๐ ปี ๑๐๐ กว่าปีอย่างมากนะ สัตว์นี่ ๗ วันหรือว่าเป็นกี่ปีกี่เดือนของเขา เขาก็ต้องตายไป พวกเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ มันก็เกิดตายๆ ของมันอย่างนั้น จิตมันมากกว่านั้นนะ สิ่งที่เป็นมากกว่านั้น แล้วเราเกิดมา เพราะเรามีอำนาจวาสนามาก เราถึงเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เพราะเราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เราพยายามจะค้นคว้าของเรา

เวลาสำคัญมาก เราต้องมีกาลเวลาของเรา เราต้องย้อนกลับเข้ามา ๑ วินาที องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์ว่า “คิดถึงความตายวันละกี่หน”

คิดถึงความตายวันละ ๕ หน ๑๐ หนก็ว่ากันไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก” ทุกลมหายใจเข้าออก พวกเรานี่ประมาทมาก ประมาทเพราะอะไร เพราะเราอยู่กันไปวันๆ หนึ่ง เราไม่ค้นคว้าของเรา เราไม่ตั้งสติของเราขึ้นมา เราไม่สงวนรักษาเวลาของเราไง...ตายแน่นอน แล้วเวลาที่ลมหายใจเข้าและออกอยู่นี้ทำไมปล่อยให้มันหมดไปโดยเปล่าประโยชน์ล่ะ ทำไมไม่เข้าใจมัน ทำไมไม่ค้นคว้ามัน ทำไมไม่จับมันมาเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา มันจะย้อนกลับมาตลอด ย้อนกลับมาตลอด

ชีวิตที่บีบคั้น มันบีบคั้นตั้งแต่สัตว์ สัตว์มันดำรงชีวิตของมันอยู่ มันต้องพยายามต่อสู้การดำรงอยู่ชีวิตของมัน ดูสิ อย่างปลาโลมามันต้องกินอาหารของมัน กินปลาหมึกถึงประมาณ ๒๕ กิโลกรัมต่อ ๑ มื้อของมันนะ เวลามันแสวงหาอาหารของมัน มันต้องพยายามแสวงหาอาหารของมันตลอดไป ห่วงโซ่ของอาหารในธรรมชาติของมัน

เวลาธรรมชาติเจริญ สิ่งแวดล้อมดี สัตว์มันจะมีของมัน ป่าเขาก็เหมือนกัน มันต้องดำรงชีวิตของมันตลอดไป แล้วเราล่ะ ชีวิตเราล่ะ เรากินอาหารเต็มปากของเรา ตรงนี้ปัจจุบันนี้ แต่ก่อนนั้นมีแต่ความขาดแคลน เราพยายามจะทำการเกษตรเพื่อให้เลี้ยงโลกได้ แต่ปัจจุบันนี้ทางยุโรปเขากำลังวิตกกังวลมากว่าเป็นโรคอ้วนๆ...โรคอ้วน โรคกินจนเกินไป มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะ แต่มันเป็นไปแล้ว มันเป็นว่าโรคอ้วน เด็กนี่อ้วนหมดเลย ต้องรักษาอย่างไรจะไม่ให้มันเป็นโรคอ้วน เพราะอะไร เพราะมันมีกินของมัน แต่เวลาที่เขาอดอยากของเขาล่ะ

มันเป็นสภาวะของกรรมไปทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดพอดีเลย

โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ เราเกิด อยู่ที่ว่าจังหวะของเรา กรรมของเราเกิดมาให้เราดำรงชีวิตของเราอยู่ได้ เราทุกข์ขนาดไหน เราก็มองคนที่ยากจนกว่าเรา คนที่ทุกข์กว่าเราก็มี คนที่สุขสบายกว่าเราก็มี คนทุกข์คนสุขสบายจากภายนอกไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าคนที่เอาใจรอดได้

คนที่เอาใจรอดได้ ถ้าเอาใจของเรารอดได้ รักษาใจของเรา ดำรงชีวิตอย่างนี้สำคัญที่สุด

เกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา เทวดาเขาให้พรกันว่าทำบุญแล้วให้ได้เกิดเป็นเทวดาอีก แต่เราพบพระพุทธศาสนา เจอครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ชี้นำว่า “จะต้องไม่เกิดอีก จะต้องดับมันให้ได้ จะต้องทำสิ่งนี้ให้ได้” ถ้าทำสิ่งนี้ได้ จะย้อนกลับมาจากภายใน นี่การดำรงชีวิตที่สมบูรณ์ที่สุด

เวลาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น ปัญญาที่เกิดขึ้นทำลายหัวใจอันนี้ ทำลายความเกิดดับอันนี้ เวลามันเกิดดับ เกิดดับตามธรรมชาติของมัน จิตนี้เกิดดับ ความคิดนี้เกิดดับ ทุกอย่างเกิดดับหมด แต่ไม่มีคุณประโยชน์กับใคร มีแต่ว่ามันเป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดขึ้นมา ให้มีความคิด ให้มีการแสวงหาเท่านั้น แต่ถ้ามีธรรมะเข้าไปเห็นความเกิดดับอันนั้น ความเกิดดับที่เป็นธรรมชาติอันนี้ แต่มีปัญญาญาณเอาเข้าไปเห็นความเกิดดับของมันโดยธรรมชาติของมัน เห็นบ่อยครั้งเข้าจนปล่อยวางความเกิดดับอันนี้ไง ต้องปล่อยวาง ต้องทำลายความเกิดดับทั้งหมด เชื้อที่มีอยู่ต้องทำลายมันทั้งหมด สิ่งที่มีอยู่ถ้าค้นคว้าต้องเจอ สิ่งที่มีอยู่ในหัวใจ ถ้ามีคนสนใจมัน คนแสวงหามัน ต้องเจอ

สิ่งนี้ความทุกข์มีอยู่ ความรู้สึกมีอยู่ แล้วจะค้นคว้าไม่เจอ นี่เป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ของมีอยู่แล้วหาไม่เจอ แต่ถ้ามันหาเจอขึ้นมา จะเป็นวิปัสสนา ถ้าวิปัสสนาสิ่งนี้ขึ้นมา แล้วทำลาย ทำลายสิ่งนี้ ทำลายสิ่งนี้เข้าไป ภาวนามยปัญญามันเกิด

ความเกิดดับธรรมชาติของมัน มันเกิดดับโดยธรรมชาติของมัน แต่ความเกิดดับโดยปัญญาญาณที่เข้าไปทำลายมัน เพราะเราทำลายมัน เราประหารมัน มันถึงต้องทำลายออกไปจากหัวใจของเรา นี่มันถึงไม่มีไง

ถ้าการเกิดดับของมัน มันเกิดดับแล้วมันสะสมเชื้อไว้ แต่การเกิดดับ การทำลายของมรรคญาณนี้มันจะทำลายของมัน เกิดขึ้นมาทำลายมันแล้วจะไม่มีเชื้อหลงอยู่ในหัวใจนั้น มันจะต้องฆ่าเชื้อนั้น ทำลายเชื้อนั้นออกไปจากใจดวงนั้น มันถึงเป็นการรักษาโรคไง มันถึงเป็นการว่าสิ่งที่ทำลายแล้วไม่มี ในหัวใจนั้นไม่มี ค้นคว้าก็ไม่มี สิ่งที่ไม่มีก็คือไม่มี

แต่ถ้ากิเลสมันมีอยู่ อย่างไรมันก็มี แต่มันสงบอยู่ในหัวใจเท่านั้นเราถึงไม่เจอมัน แต่ถ้ามันทำลายมันแล้ว มันจะต้องทำลายมันจนสุดออกไปจากหัวใจ สมุจเฉทปหานขาดออกไป สังโยชน์ขาดออกไป ทุกอย่างขาดออกไป มันทำลายของมัน ไม่มีแล้วมันหาอย่างไรก็ไม่มี นั้นคือการดำรงชีวิตอย่างถูกต้อง

ถ้าการดำรงชีวิตถูกต้องของเรา เราต้องแสวงหา เราต้องดำรงชีวิตของเราให้ได้ เราต้องสร้างของเราขึ้นมาให้ได้ การสร้างอย่างนี้คือการสร้างมัคคาในหัวใจของเรา ถ้าเราสร้างมัคคาในหัวใจของเรา เราเป็นชาวพุทธแท้ เราเป็นชาวพุทธ ลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นพุทธชิโนรส เป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ เอวัง